บทความและงานวิจัย
บทบาทของน้ำมันมะพร้าวต่อสุขภาพ และความงาม
มนุษย์ได้ใช้น้ำมันมะพร้าว เพื่อเสริมความงามของเรือนร่างมาเป็นเวลาช้านานแล้วดังเช่นชาวเกาะทะเลใต้ ที่มีร่างกายสมส่วน ผิวอ่อนนุ่มเนียน และผมดกดำสลวยเป็นเงางามทั้ง ๆ ที่อาศัยอยู่ในเขตร้อนชื้นที่แสงแดดกล้า และลมทะเลที่พัดแรงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทั้งนี้ก็เพราะใช้น้ำมันมะพร้าวถูตัวและชโลมผมเป็นประจำ น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันที่ได้จากธรรมชาติปราศจากสารเคมีสังเคราะห์ใด ๆ เจือปน โดยเฉพาะยากำจัดศัตรูพืช ซึ่งมักจะมีอยู่ในน้ำมันพืชอื่น ๆ เนื่องจากกรดไขมันในน้ำมันมะพร้าว มีขนาดโมเลกุลที่เล็ก ทำให้มันถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายได้ง่ายจึงทำให้ผิวอ่อนนุ่ม และเนียน ส่วนผมก็สลวยดกดำเป็นเงางาม หากใช้เป็นน้ำมันนวดตัวจะช่วยไม่ให้ผิวแตกแห้ง เราสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวในสภาพที่สกัดได้ตามธรรมชาติทันที โดยไม่ต้องทำให้บริสุทธิ์ ฟอกสี และกำจัดกลิ่น ดังเช่นน้ำมันพืชอื่น ๆ จึงปลอดภัยจากอันตรายจากสารเคมี น้ำมันมะพร้าวมีบทบาทต่อความงาม ในเรื่องดังต่อไปนี้
1. รูปร่างได้สัดส่วน ไม่อ้วน แต่แข็งแรง
เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวที่เราบริโภคเข้าไปสามารถเปลี่ยนเป็นพลังานได้ทันที
จึงไม่มีไขมันสะสมในร่างกาย อีกทั้งยังกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ทำงานดีขึ้น
(คล้ายคนประเภทไฮเปอร์ไทรอยด์)จึงไปนำเอาไขมันในร่างกายที่สะสมไว้ก่อนหน้า
(ถ้าเป็นคนอ้วน) ไปใช้เผาผลาญให้เกิดพลังงานจึงช่วยลดความอ้วนได้
ดังนั้นผู้ที่บริโภคน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำจึงไม่อ้วน
(เพราะไม่มีไขมันสะสม) แต่ร่างกายก็สันทัดสมส่วน
(คือไม่อ้วน และไม่ผอม)
แต่ก็แข็งแรง (เพราะได้พลังงาจากน้ำมันมะพร้าว)
2. ผิวสวย
การนวดหรือชโลมตัวด้วยน้ำมันมะพร้าว ช่วยให้ผิวสวย เพราะ
2.1
ผิวดูอ่อนวัย น้ำมันมะพร้าวที่ใช้ชโลมตัว ทั้งในรูปน้ำมันมะพร้าวสด ๆ
หรือในรูปของผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าว เช่น ครีม
และโลชั่นจะทำให้ผิวพรรณนุ่มไม่แตกแห้งเป็นกระ หรือฝ้า
แต่ชุ่มชื้นและเนียน
ปราศจากริ้วรอย และเหี่ยวย่น
ทั้งนี้เพราะน้ำมันมะพร้าวมีวิตามินอีที่มีอานุภาคมากกว่าวิตามินอีในเครื่องสำอางช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เป็ฯตัวการที่ทำให้เกิดการเสื่อม
ของเซลล์ผิวหนังป้องกันการเสื่อมโทรมของเซลล์จากขบวนการเติมออกซิเจน
ช่วยกำจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วและทับถมกันจนทำให้ผิวแห้ง
ขณะเดียวกันก็ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่
ขึ้นมาแทนที่จึงทำให้ผิวพรรณดูอ่อนกว่าวัย
2.2
ผิวนุ่มและเนียน ตามปกติผิวหนังจะสูญเสีย ความชื้นเพราะถูกแดดและลมน้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติเป็นสารรักษาความชุ่มชื้น(moisturizer)
จึงช่วยให้ผิวหนังนุ่มและเนียน
2.3 ช่วยป้องกันและรักษาฝ้า และ กระ
อนุมูลอิสระ เป็นตัวการอันหนึ่งของการเกิดฝ้า
(รอยดำคล้ำหรือปนสีน้ำตาลอ่อน) และกระ
วิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวจะทำหน้าที่ทำลายอนุมูลอิสระเหล่านี้
เราสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นยาทากันแดดได้ดี
อีกทั้งยังไม่เหนียวเหนอะหนะเหมือนยากันแดดบางชนิด และราคาก็ถูกกว่า
3. ผมงาม
เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวเป็นนำมันพืชที่มีคุณสมบัติที่เพิ่มความชุ่มชื้น อีกทั้งมีสารปฏิชีวนะ (จากโนโนลอริน) และสาร antioxidant (จากสารโทโคทรินนอลในวิตามินอี) จึงมีส่วนทำให้ผมงาม
จากคุณสมบัติต่อไปนี้
3.1 ช่วยปรับสภาพผม น้ำมันมะพร้าวเป็น Hair conditioner ที่ช่วยทำให้ผมนุ่มดำเป็นเงางาม เพราะมีวิตามินอีที่ช่วยเสริมการเจริญของเส้นผม
3.2 ช่วยรักษาสุขภาพของหนังศรีษะ น้ำมันมะพร้าวช่วยรักษาสุขภาพของ
หนังศรีษะทั้งนี้ เพราะน้ำมันมะพร้าวมีสารปฏิชีวนะที่คอยทำลายเชื้อโรค หนังศรีษะจึงไม่มีรังแค และมีวิตามินอีที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ หนังศรีษะจึงไม่เหี่ยวย่นแต่มีสุขภาพดี
3.3 ช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพดี เส้นผมประกอบด้วยส่วนนอก ที่ทำหน้าที่หุ้มส่วนใน
หากส่วนนอกอยู่ในสภาพที่ดี ไม่ฉีกขาดหรือแหว่งนั้น เส้นผมก็จะปกติ
แต่ส่วนที่ทำให้เส้นผมมีสุขภาพดี
กล่าวคือ มีความสามารถยืดหด
ทนทานต่อการบิดงอและมีความเหนียว คือส่วนในซึ่งประกอบด้วยโปรตีนที่เรียกว่า
เคราติน ที่มีประกอบด้วยเส้นเล็กๆ มัดรวมกัน
โปรตีนของเส้นผม
จะสูญเสียหรือสลายตัวไปตามอายุขัย
แต่อาจเร็วขึ้นจาการไม่รักษาผมให้ดี และการทำร้ายผม (เช่นโดยการดัดผม
การย้อมผมด้วยน้ำยาเคมี
แม้กระทั่งการหวีผม)น้ำมันมะพร้าว
ช่วยลดปริมาณการสูญเสียโปรตีนเส้นผม
เพราะน้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติยึดเกาะ กับโปรตีนของเส้นผมได้ดี
อีกทั้งมีขนาดของโมเลกุลเล็กจึงแทรกซึมเข้าไปในเส้นผมได้สะดวก
ในขณะที่น้ำมันทานตะวันและน้ำมันแร่
(ซึ่งเป็นที่นิยมให้เป็นส่วนประกอบในอุตสาหกรรมน้ำมันใส่ผม)
ไม่ได้มีส่วนช่วยแต่อย่างใด
เพราะไม่สามารถซึมเข้าไปในเส้นผมได้เหมือนน้ำมันมะพร้าว
Virgin Coconut Oil for your skin
100 ปีมาแล้วที่หญิงชาวเอเซีย ทำผลิตภัณฑ์จากน้ำมันมะพร้าวมาใช้ในการดูแลรักษาผิวและเส้นผม ริมฝีปาก เช่น สบู่, โลชั่น, ครีม, ครีมนวดผม
ซึ่งจะเห็นว่าผู้หญิงชาวฟิลิปปินจะดูสดใสอ่อนเยาว์อยู่เสมอ
ทั้งๆที่อาศัยอยู่ในเขตที่มีอากาศร้อนเกือบทั้งปี
เพราะน้ำมันที่สกัดจากมะพร้าวเป็นต้นไม้ที่มีมากในท้องถิ่น
และปราศจากการใช้สารเคมี ยาฆ่าแมลงในการดูแลรักษาทำให้ปลอดภัย
ทั้งนี้น้ำมันมะพร้าวยังดูดซึมง่าย ทำให้ผิวและผมนุ่มลื่น ลดความแห้งกร้าน
ต่อต้านริ้วรอยเหี่ยวย่น
ครีมและโลชั่นทั่วไปที่เราพบตามท้องตลาดส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของน้ำ
เมื่อเราทาผิวเราจะรู้สึกว่าชุ่มชื่น
พอสักพักน้ำมันที่ผสมอยู่จะถูกดูดซึมและระเหยออกไป
ทำให้ผิวกลับมาแห้งเหมือนเดิม
เป็นการยากที่คุณจะพบผลิตภัณฑ์ที่ดูแลผิวคุณให้ชุ่มชื่นตลอดไป
ปราศจากริ้วรอย
ยังมีผลิตภัณฑ์อีกอย่างหนึ่งที่ทำจากน้ำมันมะพร้าวหลายชนิดจะช่วยปกป้องผิวคุณจากความหยาบกร้าน
ต่อต้านและป้องกันริ้วรอย (Anti oxidants)
เป็นสารอาหารที่ทั้งร่างกายและผิวคุณต้องการ โดยปราศจากอันตราย
ผิวของคนเราจะเชื่อมติดกับเนื้อเยื่อ ซึ่งทำให้สุขภาพผิวเราแข็งแรงและยืดหยุ่น เมื่อตอนที่เรายังเป็นหนุ่ม-สาวจะพบว่าเราจะมีสุขภาพผิวละเอียด
เนียนนุ่ม เต่งตึง เพราะมีสารอาหารมาสร้างไฟเบอร์ ดูแลผิว
เมื่อเรามีอายุมากขึ้น การทำงานของเนื้อเยื่อเริ่มหยุดชะงัก
ประกอบกับมีโรคภัยมาเบียดเบียน
ทำให้การทำงานช้าลง ผิวของเราจะมีริ้วรอย
เหี่ยวย่น หยาบกร้าน
สารป้องกันต่อต้านอนุมูลอิสระมาจากสารอาหารที่เรารับประทานเข้าไปในร่างกาย และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวก็มีความสำคัญด้วย
นักชีวเคมีกล่าวว่า “สารอาหารที่สกัดจากมะพร้าวช่วยลดความต้องการวิตามิน
E ของร่างกายและช่วยป้องกันต่อต้านริ้วรอยได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม
น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์จะไม่มีการสกัดและทำลายส่วนประกอบธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในระหว่างกระบวนการสกัด”
โดยปกติผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาผิวมักทำจากน้ำมันสกัดจากพืช
เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ
มีความปลอดภัยใช้ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมในและนอกร่างกาย
เป็นเหตุผลที่เราทานน้ำมันจากพืชในกรณีลดความต้องวิตามิน E และต่อต้านอนุมูลอิสระซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอ
คุณควรใส่ใจในการเลือกชนิดของน้ำมันที่จะนำมาใช้กับผิวคุณ
การใช้ครีม
โลชั่น ลิปปาล์ม
ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันสกัดจากพืชคุณจะพบว่าผิวหนังของคุณจะเกิดริ้วรอยดูแก่กว่าวัย
เป็นการเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง
น้ำมันบริสุทธิ์จะช่วยป้องกันและลดการเกิดกรณีดังกล่าวได้
สิ่งที่จะบ่งบอกเมื่อคุณอายุมากขึ้นคือใบหน้า ร่างกาย (ผิวหนัง) จะมีจุดสีน้ำตาลเล็กๆ ฝ้า และริ้วรอย สิ่งเหล่านี้เกิดจากการที่กระบวนการสร้างเซลผิวในร่างกายอ่อนแอลง
สารต่อต้านอนุมูลอิสระทำงานได้ช้าลง สิ่งเหล่านี้จะไม่ทำให้คุณกังวลหรือทุกข์ในกรณีที่คุณมองไม่เห็นแต่มันก็มีผลต่อเนื้อเยื่อของเรา ทำให้เสียบุคลิกภาพเมื่อมันชัดขึ้น
เพราะกระบวนการสร้างสีผิวของคุณทำงานเกินความจำเป็น แต่คุณสามารถป้องกันหรือลดความรุนแรงของกระ ฝ้า ได้โดยการที่คุณใช้น้ำมันมะพร้าว
ที่มีสารอาหารในการดูแลผิว ปกป้องผิวคุณจากแสงแดดต่อต้านการเกิดริ้วรอย ทำให้ริ้วรอยจางลง และจากการทานอาหารโดยเน้นอาหารที่มีคุณสมบัติในการดูแลผิวจากภายใน
โลชั่นที่ทำจากน้ำมันมะพร้าวไม่เพียงแต่จะดูแลผิวคุณให้นุ่มชุ่มชื่นเท่านั้น แต่ยังช่วยปกป้องคุณจากแสงแดด เชื้อโรค ภาวะอื่นๆ ที่เป็นอันตรายต่อผิว จุดด่างดำ,
ฝ้า, กระ ริ้วรอยต่างๆ ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไปแล้วให้ดีอ่อนเยาว์อยู่เสมอ ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ง่ายไม่เหนียวเหนอะหนะ
น้ำมันมะพร้าวสำหรับดูแลผมและหนังศีรษะ
น้ำมันมะพร้าวดูแลทั้งผิวและเส้นผมได้
เป็นครีมนวดผมที่วิเศษมาก ทำให้ผมคุณนุ่มลื่น ปรับสภาพหนังศีรษะ
ใช้น้ำมันมะพร้าวหมักผมก่อนสระ (ทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง)
ช่วยขจัดรังแคได้มากกว่าแชมพูทั่วไป
น้ำมันมะพร้าวช่วยปกป้องผิวคุณจากภาวะแวดล้อม
กรดไขมัน Antiseptic ในน้ำมันมะพร้าวจะช่วยคุณปกป้องผิวคุณจากเชื้อโรค
แบคทีเรีย เมื่อมันเข้ามาในร่างกายในปริมาณมากจะทำลายผิวหนัง
ในกรณีที่เข้าสู่ร่างกาย
ไม่รวมทางอื่นเช่น จมูก ปาก
แต่เป็นเกี่ยวกับผิวหนัง เมื่อผิวหนังมีปัญหาจะส่งผลให้เกิด สิว เชื้อราในเท้า นี่เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นจากการรับสิ่งสกปรกจากสิ่งแวดล้อม
เข้าสู่ร่างกายแต่น้ำมันมะพร้าวสามารถป้องกันสิ่งเหล่านี้ได้
ผิวที่ดีควรมีค่า PH 5 ทำให้ผิวนุ่มเหงื่อของเรากับน้ำมันจะช่วยสนับสนุนทำให้เป็นกรดต่อผิวหนัง ทำให้ปลอดภัยจากแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บนผิวหนัง
น้ำมันที่มีอยู่ในร่างกายเราจะสร้าง Sebum เป็นสิ่งที่อยู่ในต่อมน้ำมัน อยู่ที่รากผม
และแหล่งอื่นๆน้ำมันชนิดนี้มีความสำคัญต่อสุขภาพผิว ทำให้ผิวนุ่ม
และผมนุ่ม
ป้องกันผิวจากความแห้งกร้านและแตกลาย
ยังสามารถต่อต้านเชื้อโรคที่เป็นอันตราย น้ำมันมะพร้าวสามารถต่อต้านแบคทีเรียขนาดเล็ก (เชื้อโรค)
เมื่อมันแตกตัวในกรดไขมันอิสระมันจะกลายเป็นเชื้อโรคที่มีพลังมาก
เมื่อมาน้ำมันมะพร้าวลงบนผิวจะไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อแบคทีเรียทันที
เมื่อแบคทีเรียมาอยู่บนผิวเราตอนนั้นจะเปลี่ยน triglycerides
เป็นกรดไขมันอิสระ กับ Sebum ผลคือจะทำให้ตัวต้านเชื้อแบคทีเรียมีมากขึ้น
ป้องกันผิวจากเชื้อโรค กรดไขมันอิสระยังช่วยสร้างกรดบนชั้นผิวเพื่อฆ่าเชื้อโรคในกรณีที่เกิดโรค
เมื่ออาบน้ำชำระร่างกายด้วยสบู่บ่อยครั้งที่เราพบว่าผิวเรากลับแห้ง แม้ว่าม้อยเจอร์ไรเซอร์จะช่วยทำให้ผิวชุ่มชื่นขึ้นแต่ไม่สามารถเข้าไปแทนที่
หรือปกป้องกรดไขมันสายกลางบนผิวได้ คุณรู้สึกว่าผิวคุณสะอาดปราศจากเชื้อโรคหลังอาบน้ำ แต่เชื้อโรคอยู่ทุกที่ ลอยอยู่ในอากาศ ในเสื้อผ้าของเรา
และทุกที่ที่คุณสัมผัส ส่วนใหญ่เชื้อโรคจะซ่อนตัว
หรือแทรกตามรอยแตกแห้งรอบๆผิวหนัง
เราต้องเน้นทำความสะอาดบริเวณนี้มากๆก่อนที่ร่างกายคุณจะเพิ่มเจ้าเชื้อโรคเหล่านี้
หากคุณใช้น้ำมันมะพร้าว, โลชั่น, ครีม, จากน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์จะช่วยสร้างสารปกป้องผิวและเชื้อแบคทีเรียตามธรรมชาติได้เร็วขึ้น
หลายคนใช้น้ำมันมะพร้าวทาผิวหลังอาบน้ำ ในคนที่มีผิวมัน Subum เป็นสารที่ร่างกายขับออกมาช่วยดูแลผิว และผม (มีประโยชน์) มากเกินไปทำให้เกิดสิว
น้ำมันมะพร้าวจะซึมซาบง่ายทำให้ผิวนุ่ม ไม่ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ
ไม่เหมือนน้ำมันชนิดอื่น จะทำให้ผิวคุณเนียนนุ่ม สำหรับผิวแห้ง
ช่วยลดการอักเสบของผิวที่มีมานานทำให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น
บางคนใช้น้ำมันมันมะพร้าวผสมกระเทียมบดกำจัดเชื้อราในเท้าตอนกลางคืนได้ผลดี
ในการทำสบู่ สบู่จะไม่มีกลิ่นหืนหรือเป็นไข เหมือนน้ำมันพืชทั่วไปแต่มันจะให้กลิ่นสดชื่นมีฟองนุ่มละเอียดดี น้ำมันมะพร้าวเป็นหนึ่งในน้ำมันที่นิยมมาใช้ทำสบู่
น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ที่นำมาใช้ทำโลชั่นทาผิว
จะมีกลิ่นของมันไม่ต้องใส่น้ำมันหอมระเหยหากไม่ต้องการ
เป็นครีมและโลชั่นที่วิเศษมาก ไม่เหนียวเหนอะหนะ
ซึมสู่ผิวเร็ว
กลิ่นของมันเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ จะหายไปหลังคุณใช้ 1 ชั่วโมง แต่ละคงความชุ่มชื่นไว้ตลอดทั้งวัน
Coconut oil why it is good for you
น้ำมันปกติ หมายถึงของเหลวที่อุณหภูมิห้อง และไขมัน หมายถึงน้ำมันที่อุณหภูมิห้อง น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมัน (ไข)
เมื่ออยู่ในอุณหภูมิต่ำกว่า 25% หรือ 76 องศาฟาเรนไฮ จะเปลี่ยนเป็นของเหลวเมื่ออยู่ในอุณหภูมิสูงกว่า 76 องศาฟาเรนไฮ
น้ำมันมะพร้าวใช้ประกอบอาหารมาพันกว่าปีมาแล้ว เป็นที่นิยมลงโฆษณาในหนังสือประกอบอาหารทีมีการรณรงค์ต่อต้านการใช้ไขมันอิ่มตัว
สนับสนุนการใช้ไขมันไม่อิ่มตัว เช่นนมถั่วเหลือง น้ำมันจากดอก saff นมข้าวโพด ถั่ว เมล็ดพืชอื่นๆ เพราะไขมั่นอิ่มตัวจะมีคอเรสเตอรอลสูง
และเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและสภาวะเสี่ยงต่อสุขภาพไม่ดีอื่นๆ (ไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนสรุป) ตั้งแต่พบว่าคนอเมริกันทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง
เพราะอาหารที่มีขายทั่วไป เช่น ขนมปัง คุกกี้ ของขบเคี้ยว ลูกอม ครีม กาแฟ
สลัดชุด ฯลฯ ล้วนแต่มีคอเรสเตอรอลสูง ทำให้อ้วนและเป็นโรค
แต่คนกลุ่มที่ทานไขมันอิ่มตัวแล้วกลับมีสุขภาพดี คือ กลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในเขตร้อน ทานอาหารจากน้ำมันมะพร้าวมากๆกลับเป็นคนที่มีสุขภาพดี
เป็นโรคหัวใจและมะเร็งน้อยกว่าคนที่ทานน้ำมันไม่อิ่มตัว จาก 2 กลุ่มคือมาเลเซีย กับ YUCATAN กลุ่มคนที่ทานไขมันจากมะพร้าวพบว่าไทรอยด์ทำงานดี
เพราะว่าต่อมไทรอยได้รับการกระตุ้น
ผลมาจากน้ำมันมะพร้าวบวกกับอาหาร
โปรตีนจากปลาผลไม้จะกระตุ้นให้ไทรอยด์ทำงานได้ดี
ชาวเอสกิโม ทานปลาน้ำเย็น ไขมันไม่อิ่มตัวสูง แต่พวกเขาทานสัตว์ทุกชนิดและทานอวัยวะทั้งหมดของมันรวมทั้งไฮโมนจากอวัยวะสัตว์เหล่านั้น
จากกรณีดังกล่าวทำให้พวกเขาเป็นไฮเปอร์ไทรอยด์ มากกว่าชาวอเมริกาถึง 25% เกือบ 40 ปีมาแล้วที่ชาวอเมริกาหันมาสนใจทานน้ำมันที่ไม่อิ่มตัว
ลดไขมันอิ่มตัว เช่นเนย กรดลอริค ไขมันหลักในน้ำมันมะพร้าว และน้ำนม ยากที่จะเป็นอาหารของคนอเมริกา ไขมันอิ่มตัวยังคงเป็นที่เรียกกันว่าเป็นอาหารที่ไม่ควรรับประทาน
คุณสมบัติของน้ำมันมะพร้าว
น้ำมันไขมันไม่อิ่มตัวนำมาประกอบอาหารจะทำให้อาหารบูดเสียเพียงผ่านไปเพียง 2-3 ชั่วโมง ต้องเก็บในตู้เย็นเหตุผลหนึ่งคือรสชาดอาหารเปลี่ยนไป
การกินไขมันไม่อิ่มตัวเข้าไปสดๆไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะว่าร่างกายของเราต้องมีการ Oxidize ผสมกับออกซิเจนไม่เหมือนน้ำมันมะพร้าว
หลัง 1 ปี เก็บน้ำมันมะพร้าวที่อุณหภูมิห้องน้ำมันมะพร้าวจะไม่เสีย
จากที่พบว่าชาวไอซ์แลนด์
มักทานน้ำมันมะพร้าวปรากฏว่าไม่มีผลอันตรายต่อสุขภาพ
เมื่อพวกเขาย้ายไปอยู่นิวซีแลนด์ทานน้ำมันมะพร้าวน้อยลง
ปรากฏว่ามีคอเรสเตอรอลเพิ่มขึ้น
คุณสมบัติในการกระตุ้นการทำงานของต่อไทรอยด์ลดลง คืออาหารที่มาจากน้ำมันมะพร้าวจะกระตุ้นการทำงานของต่อไทรอยด์
และป้องกันการเกิดโรคหัวใจ, มะเร็งและโรคอื่นๆ
มีรายงานว่า ผลของการต้านมะเร็งของน้ำมันมะพร้าว ต่อต้านการเกิดมะเร็งเต้านม และลำไส้ใหญ่ จะดีกว่าการใช้น้ำมันไม่อิ่มตัว ตัวอย่างคือคนที่ทานน้ำมันจากข้าวโพด
เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ถึง 32% ขณะที่คนที่ทานน้ำมันมะพร้าวเป็นมะเร็งเพียง 3% เท่านั้น
EAT FAT, LOSE WEIGHT
55% ของประชาชนในสหรัฐอเมริกามีน้ำหนักเกินมาตรฐาน พบว่า 1 ใน 4
มักเป็นวัยผู้ใหญ่จากภาวะดังกล่าวนี้เป็นการเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ
มะเร็ง
เบาหวาน ถุงน้ำดี กระดูกพรุนจนถึงขั้นเสียชีวิต สิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่คือ
คนเหล่านี้พยายามควบคุมน้ำหนัก
โดยการงดอาหารและเมื่อน้ำหนักตัว
ลดความต้องการอาหารย่อยอาหารของร่างกายกลับเพิ่มขึ้นทำให้ท่านอาหารเข้าไปมาก
ก็จะกลับมาอ้วนอีกเหมือนเดิมเป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้
คนวัยรุ่นวัยทำงานมีความต้องการปริมาณแคลอรี่และใช้พลังงานมากกว่าคนสูงอายุ
เพราะร่างกายทำกิจกรรมมากกว่า
คนที่มีน้ำหนักมากจะใช้พลังงาน
และทำกิจกรรมน้อยกว่าคนที่มีรูปร่างปกติ หลายคนเชื่อว่าการรับประทานน้ำมันจากพืชที่เป็นไขมันไม่อิ่มตัวจะไม่ทำให้อ้วน
ปรากฏว่าน้ำมันดังกล่าวมีผลต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์
และยังทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม ต่างจากการใช้น้ำมันมะพร้าว
เพราะพลังงานจากน้ำมันมะพร้าวจะถูกนำมาใช้ทันที
เมื่อคุณทำกิจกรรมหรือออกกำลังกาย
การออกกำลังกายจะช่วยทำให้การเผาผลาญพลังงานเร็วขึ้น น้ำหนักลดด้วย
เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวสามารถเผาผลาญพลังงานสูงกว่าน้ำมันจากไขมันไม่อิ่มตัวอื่นๆ ที่มีการเผาผลาญพลังงานต่ำ
ทำให้มีการกระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ให้ทำงานได้มากขึ้น
ถึงแม้มะพร้าวเป็นพืชที่เจริญตามชายฝั่งของประเทศ
เนื้อมะพร้าวแห้งถูกนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว
หลักๆก็ทำเป็นน้ำมัน ปกติในเนื้อมะพร้าวมีน้ำมัน 67-72%
น้ำมันมะพร้าวเป็นสิ่งสำคัญมากในการประกอบอาหารของตอนกลางของภาคใต้ นอกจากจะนำมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมยังนำมาใช้ในโรงงานที่ทำน้ำยาล้างห้องน้ำ
น้ำยารีดผ้า สบู่ โลชั่นทาผิว เพื่อต้านเชื้อโรค น้ำยาใส่ผม เครื่องสำอาง ในกรณีนำมานวดตัวทำให้ร่างกายรู้สึกเย็น
MIRACLE COCONUT OIL
อาหารผิวและอาหารสุขภาพ
สามารถใช้รับประทาน และทาผิวได้ เป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพ แทนที่ เนย
มาการีน และน้ำมัน ประกอบอาหารอื่นๆ
เป็นทางเลือกทางธรรมชาติที่ดีกว่าในการดูแลผิว
และเหล่านี้คือคุณสมบัติของน้ำมันมะพร้าว
- ซึมซาบเร็ว ไม่เหนอะหนะ ทำให้ผิวนุ่มเนียน ป้องกันผิวแตกลาย ลดรอยเหี่ยวย่น ป้องกันผิวจากมะเร็งผิวหนัง
- มีสารต้านอนุมูลอิสระ ฟื้นฟูและป้องกันสภาพผิวเป็นมอยเจอร์ไรเซอร์บำรุงผิว ป้องกันการเกิดฝ้า, กระ, จุดด่างดำ
- ทำให้ผมนุ่มลื่น มีน้ำหนัก จัดทรงง่าย ลดการหลุดร่วงของเส้นผม ช่วยชะลอผมหงอกก่อนวัย
- ปรับปรุงการย่อยอาหารและนำไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างรวดเร็ว/ ช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร (เมทาบอลิซึม)
- สนับสนุนหน้าที่ของต่อมไทรอยด์ให้ทำงาน
- ต่อต้านไวรัสและเชื้อโรคที่มองไม่เห็น
- แทนที่คาร์โบไฮเดรท ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก ไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม
- ไม่เพิ่มไขมัน หรือคอเรสเตอรอลในเส้นเลือด ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และภาวะเสี่ยง
- ไม่ทำให้สุขภาพแย่ลงเหมือนน้ำมันไม่อิ่มตัวจากพืชอื่น ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และโรคอื่นๆ
- เป็นแหล่งพลังงาน มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย สนับสนุนให้มีการเผาผลาญไขมันในร่างกาย (ลดไขมัน)
- ป้องกัน Osteoporosis
- Rich source of Medium-chain fatty acids (MCTS) สูง
- ช่วยลดความต้องการวิตามิน E ของร่างกาย/ ปรับอุณหภูมิในร่างกาย
- ใช้ประกอบอาหารเพื่อสุขภาพแทนที่น้ำมันชนิดอื่นๆ มีสารอาหารที่จำเป็นต่อสุขภาพ
- ไม่มีคอเรสเตอรอล
- เป็นน้ำมันที่มีคุณสมบัติสมบูรณ์ครบถ้วน
- ช่วยสนับสนุนการสร้างความสมบูรณ์ของร่างกาย และลดน้ำหนัก ไม่เหมือนน้ำมันชนิดอื่นที่มีมันมาก
เช่นจากสัตว์ เนื้อ และผลิตภัณฑ์ทั่วไปที่มีขาย
น้ำมันมะพร้าวทำให้กระบวนการเผาผลาญอาหารมีประสิทธิภาพ
ไม่ทำให้เพิ่มระดับคอเรสเตอรอล น้ำมันมะพร้าวให้แคลอรี่น้อยกว่าแหล่งน้ำมันอื่น
ขณะที่คนหลายคนใช้น้ำมันมะพร้าวโดยการประกอบอาหารรับประทาน (ภายใน) ยังสามารถใช้เป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ธรรมชาติทาผิว
ดูแลผิวแห้งกร้าน
ปกป้องผิวจากแสงแดด
ใช้เป็นน้ำมันนวดตัวได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้ผิวนุ่มเนียน ไม่หมองคล้ำ
Source: Bruce Fife, C.N., N.D., a certified nutritionist and naturopathic doctor, is president of the Coconut Research Center, a nonprofit organization dedicated to educating the public and the scientific community on the nutritional and health benefits of coconut oil. He has written numerous health and nutrition books, including Eat Fat Look Thin, and lives in Colorado Springs.
งา (Sesame)
มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Sesamum indicum L.
วงศ์ Pedaliaceae
งาเป็นไม้ล้มลุกและเป็นไม้พื้นเมืองของประเทศแถบเส้นศูนย์สูตร มีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า Sesamum indicum L. แสดงถึงการพบต้นไม้ชนิดว่าอยู่ในแถบดินแดนโอเรียนเต็ลนี้เอง ซึ่งก็หมายถึงประเทศไทยด้วย มีการปลูกงามากที่ประเทศจีน อินเดียไปจนถึงเม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา งาเป็นต้นไม้ขนาดเล็กสูง 1-2 เมตร มีใบบอบบาง ดอกสีขาวหรือชมพู เมื่อผลแก่จัด จะได้เมล็ดงาจำนวนมากในฝักนั้น
เมล็ดงามีประโยชน์ ประกอบด้วยน้ำมันระหว่าง 46.4 – 52.0% มีโปรตีน 19.8 – 24.2% ซึ่งมีสัดส่วนดี จึงเป็นอาหารที่ดี มีสารมีไธโอนีนและทริพโทแฟ็นสูง มีแคลเซี่ยม โปรแตสเซี่ยมฟอสฟอรัส วิตามินบี และเหล็ก น้ำมันงาที่ดีได้มาจากการหีบโดยไม่ใช้ความร้อน (cold pressed) น้ำมันงาชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างสูง เพราะไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างของโมเลกุลน้ำมัน และไม่มีสารเคมีตกค้าง
น้ำมันงามีกรดไขมันอิ่มตัวชนิดหลายตำแหน่ง (Polyunsaturated fatty acids) ระหว่าง 40.9 – 42.0% ชนิดไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (Monounsaturated fatty acids) ระหว่าง 42.5 – 43.3% ซึ่งชนิดหลังนี้ เชื่อว่าช่วยป้องกันหลอดเลือดแดงแข็งและโรคหัวใจ
สรรพคุณ
งามีไขมันจำเป็นที่ร่างกายสังเคราะห์เองไม่ได้
คือกรดไลโนเลอิก
ร่างกายจะนำกรดไขมันดังกล่าวไปสร้างฮอโมนพรอสต้าแกลนดินฮีกัน
ซึ่งทำหน้าที่ที่ทรงคุณค่าต่อร่างกายมากมายหลายด้านด้วยกัน อาทิ
1. ช่วยขยายหลอดเลือด
2. ช่วยลดความดันโลหิต
3. ป้องกันเกล็ดเลือด (Plate Ket) เกาะกันเป็นลิ่ม ถ้าเกาะกันมากอาจอุดตันหลอดเลือดเล็กๆได้
- ถ้าอุดตันหลอดเลือดหัวใจ ก็จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
- ถ้าลิ่มเลือดไปอุดตันหลอดเลือดสมอง ก็จะป่วยเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ได้
- ถ้าลิ่มเลือดอุดตันจอตา อาจทำให้ตาบอดได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องระวัง
4. ยับยั้งไม่ให้ร่างกายสร้างคอเลสเตอรอลมากเกินไป
5. งามีแคลเซี่ยมสูงทำให้กระดูกแข็งแรงเพิ่มความหนาให้มวลกระดูก
-
งามีแคลเซี่ยมสูงมากกว่าพืชทั่วไปถึง 40 เท่า ทั้งยังมีฟอสฟอรัสมากถึง 20
เท่า สาร 2 ตัวนี้เป็นธาตุสำคัญในการเสริมสร้างกระดูกและฟัน
จึงควรให้เด็กกินงาจะได้เจริญเติบโตสูงใหญ่
สตรีวัยหมดประจำเดือนก็ควรกินงามากๆ
เพราะวัยนี้จะเกิดภาวะพร่องฮอร์โมนเอสโตเจน
ทำให้มีการดึงแคลเซี่ยมาจากกระดูกและฟัน
จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน กระดูกเสี่อม
นอกจากนี้ในงายังมีวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็ง และเป็นยาอายุวัฒนะทำให้ร่างกายสดชื่น ดูหนุ่ม - สาวและแก่ช้าลง
ที่สำคัญ
งามีเลซิติน ซึ่งเป็นส่วนประกอบไขมันที่สำคัญมากในเซลล์ประสาท ต่อมไร้ท่อ
สมอง หัวใจ ไต ควรรับประทานวันละ 1-2 ช้อนชา แล้วตามด้วยน้ำอุ่น
จะทำให้จิตแจ่มใส อารมณ์ดี
เราจะเห็นว่างานั้นมีประโยชน์มากมาย แม้แต่อาหารหลักของชาวมังสวิรัติยังขาดงาไม่ได้ เพราะโปรตีนของคนเราประกอบด้วยกรดอมิโนประมาณ 22 ชนิด แต่กรดอมิโนที่ร่างกายเราสร้างเองไม่ได้มีอยู่ 9 ชนิดด้วยกัน โปรตีนเหล่านี้มีอยู่ในถั่วเกือบครบถ้วน ยกเว้นกรดอมิโนที่ชื่อ เมทไธโอนีน ผMethionine) ซึ่งมีมากในเมล็ดงา
คนโบราณนิยมใช้น้ำมันงาในการรักษาตัวเองมานานหลายพันปีมาแล้ว ทั้งในประเทศอินเดียและจีน สรรพคุณต่างๆที่รวบรวมได้มีดังนี้
มีสรรพคุณต้านแบคทีเรีย รา และไวรัส ลดการอักเสบ ลดการเกิดการอุดตันของหลอดเลือด ใช้กับโรคเรื้อรัง เช่น ตับอักเสบ เบาหวาน และปวดศีรษะเรื้อรัง สกัดการเติบโตของเซลล์มะเร็งผิวหนัง และเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ ต้านอนุมูลอิสระ ใช้กลั้วคอและบ้วนปากจะลดเชื้อที่ทำให้เกิดเหงือกอักเสบ เชื้อก่อโรคเจ็บคอ และเชื้อหวัด ใช้หยอดจมูก (1-2 หยด) เมื่อเป็นไซนัสพบว่าได้ผลดี ใช้ทาผิวผู้เป็นโรคสะเก็ดเงินหรือเรื้อนกวาง (Psoriasis) และผู้มีผิวแห้ง ใช้ทาผิวและเคลือบเส้นผมเพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดและลม ช่วยจับสารพิษในกระแสเลือด ช่วยรักษาเหา ลดอาการปวดตามข้อได้ ชาวธิเบตใช้หยดจมูกข้างละ 1 หยดเพื่อช่วยให้นอนหลับ และลดความกระวนกระวาย ช่วยระบายท้อง
เคล็ดลับก้นครัว
- ใช้ประกอบอาหารได้ทุกประเภทเนื่องจากอุณหภูมิในการประกอบอาหารประมาณ 100 องศาเซ็นเซียนส ไม่ได้ทำลายคุณค่าทางโภชนาการของน้ำมัน (หากใช้แล้วไม่ควรนำกลับมาใช้ซ้ำ) ดังนั้น ทั้ง ผัด ทอด หมักหมู หมักเนื้อ ทำน้ำจิ้มสุกี้
- ดับกลิ่นคาวปลาและอาหารทะเล
- สำหรับทอดที่ใช้เวลาไม่นานมาก หรือเจียวไข่ ตั้งน้ำมันงาให้ร้อนรอจนฟองหมด แล้วทอดจะทำให้อาหารที่ทอดกรอบนอกนุ่มใน ไม่อมน้ำมัน อาหารมีรสชาดอร่อยขึ้น โดยไม่มีกลิ่นน้ำมันตกค้างในรสชาดอาหารเลย
- ผัดผักกับน้ำ เหยาะเกลือป่นเล็กน้อย ใส่น้ำมันงา 1 ช้อนชา ผักจะหอมและกรอบอร่อย
- ผสมในน้ำจิ้มสุกี้ น้ำสลัดเพื่อสุขภาพ
- ใส่ในหม้อหุงข้าว 1 ช้อนโต๊ะ ก่อนกดปุ่ม จะช่วยให้ข้าวหอมนุ่ม อร่อย ไม่บูด ไม่เสีย ง่าย
เคล็ดลับงากับความงาม
1. ใช้หมักผม จะทำให้เส้นผมดกดำ ไม่หลุดร่างง่าย ผมไม่แห้งแตกปลาย ใช้น้ำมันงาหมักผมไว้ประมาณ 30 นาทีก่อนสระออก2. ใช้บำรุงผิวหน้า ผิวกาย นวดตัว คลายกล้ามเนื้อ กระตุ้นการไหลเวียนของระบบน้ำเหลือง ช่วยให้หลอดเลือดขยาย
3. อมฆ่าเชื้อ และลดกลิ่นปาก ลดคราบบุรี ชากาแฟ อมแล้วกลั้อคอประมาณวันละ 5 นาที หลังแปรงฟัน แล้วบ้วนทิ้ง
www.kapook.com
ประโยชน์ของน้ำผึ้ง ดีจริง รักษาได้ถึง 10 โรค

น้ำผึ้ง ความหวานจากธรรมชาติที่ใครหลายคนบอกว่าประโยชน์ของน้ำผึ้งมีดีหลายอย่าง และนอกจากน้ำผึ้งจะช่วยรักษาสิว บำรุงผิว และบำรุงความงามได้แล้ว สรรพคุณของน้ำผึ้งยังรักษาโรคและบรรเทาได้หลายอาการตามนี้เลย
จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Pediatrics เผยว่า น้ำผึ้งมีสรรพคุณเทียบเท่ายาปฏิชีวนะเบา ๆ สามารถกำจัดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดอาการไอได้ โดยเฉพาะคนที่ไอเรื้อรังไม่ยอมหาย ลองกินน้ำผึ้ง 2 ช้อนชาแล้วดื่มน้ำอุ่นตาม อาการไอจะค่อย ๆ บรรเทาลง

2. น้ำผึ้ง แก้เจ็บคอก็ได้ด้วย
ในเมื่อน้ำผึ้งแก้ไอได้ อาการไวรัสลงคอจนทำให้รู้สึกเจ็บคอก็สามารถหายได้ด้วยน้ำผึ้งเช่นกัน ยิ่งหากจิบน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นที่บีบมะนาวผสมลงไปสักนิด จิบอยู่ไม่เท่าไรอาการเจ็บคอก็หายจ้อยเลยล่ะ

3. แก้ท้องผูก
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าในน้ำผึ้งแอบซ่อนโพรไบโอติกส์ แถมยังเป็นมิตรกับแบคทีเรียประเภทแลคโตบาซิลัส ดังนั้นเพียงจิบน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นก่อนเข้านอน ตื่นเช้ามารับรองว่าโล่งสบายท้องแน่ ๆ
4. น้ำผึ้ง รักษาโรคกระเพาะก็เด็ด
เนื่องจากน้ำผึ้งมีฤทธิ์สมานแผล จึงสามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหารของผู้ป่วยโรคกระเพาะได้ โดยเฉพาะคนที่มีอาการโรคกระเพาะในระยะเริ่มต้น ควรกินน้ำผึ้งวันละ 1 ช้อนชาเป็นประจำ
5. รักษาเชื้อรา
ในน้ำผึ้งมีเอนไซม์ที่ผึ้งปล่อยออกมา ซึ่งเอนไซม์ที่ว่านี้ก็มีฤทธิ์คล้ายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ จึงสามารถรักษาเชื้อราหรืออาการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดต่าง ๆ ได้นั่นเอง

6. แก้โรคนอนไม่หลับ
นักโภชนาการจาก Seattle Sutton's Healthy Eating ชิคาโก แนะนำให้ผู้ที่นอนไม่หลับเป็นประจำกินน้ำผึ้ง 1 ช้อนชาก่อนเข้านอน 30 นาที ด้วยเหตุผลที่ว่าน้ำผึ้งให้ความหวานกับร่างกาย ซึ่งจะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตอินซูลินและหลั่งเซโรโทนิน ฮอร์โมนแห่งความสุขออกมาได้ จากนั้นเซโรโทนินจะเปลี่ยนตัวเองเป็นเมลาโทนิน ฮอร์โมนที่พาให้รู้สึกง่วงและรู้สึกอยากนอนหลับ
7. บรรเทาอาการโรคภูมิแพ้
น้ำผึ้งมีฤทธิ์คล้ายสารต้านการอักเสบ อีกทั้ง Dr.Matthew Brennecke แพทย์แห่งสถาบัน Rocky Mountain Wellness Center ยังเผยว่า น้ำผึ้งมีอนุมูลละอองเกสรขนาดเล็กอยู่เยอะ ซึ่งเมื่อร่างกายเจอสิ่งนี้ก็จะกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานมากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายหลั่งสารฮีสตามีนน้อยลง อาการของโรคภูมิแพ้อากาศจึงบรรเทาลงได้
8. รักษาแผล ล้างแผลได้
อย่างที่บอกว่าน้ำผึ้งมีฤทธิ์คล้ายยาต้านการอักเสบ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติคล้ายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์อ่อน ๆ จึงสามารถนำน้ำผึ้งมารักษาแผลได้ ยืนยันจากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร British Journal of Surgery ที่บันทึกสถิติของคนไข้ที่รักษาแผลด้วยน้ำผึ้งแล้วหายดี แถมไม่มีอาการแผลไหม้หรือแสบแผลอีกด้วย
ทั้งนี้วิธีรักษาแผลด้วยน้ำผึ้งให้ผสมน้ำผึ้ง 1 ส่วน ต่อน้ำ 9 ส่วนเข้าด้วยกัน แล้วนำมาล้างแผลตามปกติ

9. น้ำผึ้ง แก้ท้องเสียก็เวิร์ก
น้ำผึ้งสามารถฆ่าเชื้อโรคในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ โดยเฉพาะเหล่าอาการติดเชื้อในกระเพาะอาหารจนทำให้เกิดอาการท้องเสีย แค่เพียงจิบน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นสัก 1 แก้วกาแฟ อาการท้องเสียและปวดเสียดท้องก็จะบรรเทาลงแล้วล่ะ
10. เติมพลังให้ร่างกาย
น้ำผึ้งแค่เพียง 1 ช้อนโต๊ะก็มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตราว 17 กรัม ซึ่งก็เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่อุดมไปด้วยกลูโคสและฟรุกโตสจากธรรมชาติแท้ ๆ ดังนั้นร่างกายจึงสามารถดูดซึมพลังงานเหล่านี้เข้าเส้นเลือดได้อย่างรวดเร็ว บูสต์พลังให้หายจากอาการเพลียหรืออาการเหนื่อยล้าหลังออกกำลังหนัก ๆ ได้ชะงัด
ประโยชน์ของน้ำผึ้งช่วยรักษาโรคได้หลายอย่างดังที่บอกไป ทว่าข้อควรระวังในการบริโภคน้ำผึ้งก็มีมาแนะนำกันด้วย ดังนี้
- ไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ กินน้ำผึ้ง เนื่องจากในน้ำผึ้งมีทั้งเอนไซม์ น้ำลายจากตัวผึ้ง เด็กอาจมีภูมิต้านทานไม่พอจนทำให้เกิดอาการอาเจียนหรือท้องเสียได้
- ไม่ควรกินน้ำผึ้งเกินวันละ 10 ช้อนชา เพราะอย่าลืมว่าน้ำผึ้งก็เป็นน้ำตาลชนิดหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสะเทือนได้ โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว
น้ำผึ้งก็เหมือนเหรียญที่มี 2 ด้าน ด้านหนึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็ควรระมัดระวังในการบริโภคกันบ้างเพื่อความปลอดภัยนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Medical Daily
Care 2.com